ส่งไปแล้ว X ปี ใช้เงินสำเร็จ 120, 000 บ. = เสียชีวิตหรือครบสัญญารับ 120, 000 บ. หรืออาจใช้มูลค่าขยายเวลาคือจำนวนเงินเอาประกันภัยจะเท่าเดิมตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์แต่ระยะเวลาความคุ้มครองใหม่จะลดลงเหลือเท่ากับที่ระบุไว้ในตารางมูลค่ากรมธรรม์ ตัวอย่าง ทุน 200, 000 บ. ส่งไปแล้ว X ปี ขยายเวลาคุ้มครอง 7 ปี = 7 ปีที่ไม่ได้ส่งเบี้ยประกัน หากเสียชีวิตใน 7 ปีนี้ รับ 200, 000 บ. ครบ 7 ปีกรมธรรม์ก็จะสิ้นสุดอายุ สิ่งที่ต้องคำนึงหากใช้มูลค่าขยายเวลาคือเวลาที่ขยายความคุ้มครองรวมกับเวลาที่เราชำระมาแล้วต้องมากกว่าหรือเท่ากับ 10 ปี หมายเหตุ: กฎหมายฉบับนี้ใช้กับทั้งประกันชีวิตแบบธรรมดาและประกันชีวิตแบบบำนาญ #WealthMeUp
การเงิน การลงทุน การวางแผนการเงินโดยใช้ประกันชีวิต เป็นเครื่องมือคือวิธีที่ดีที่จะทำให้ได้รับความคุ้มค่า เพราะนอกจากจะใช้เป็นค่าลดหย่อนภาษีแล้ว ประกันชีวิต ยังทำหน้าที่ในการคุ้มครองผู้ซื้ออีกด้วย แต่ผู้ซื้อจะต้องศึกษาเงื่อนไขของประกันแต่ละประเภทก่อนการวางแผนลดหย่อน ว่าแบบไหนลดหย่อนได้บ้าง และลดหย่อนได้เท่าไร 1. เบี้ยประกันสุขภาพสามารถลดหย่อนภาษีได้ 25, 000 บาท จริงเหรอ?
), กองทุนสงเคราะห์ครูโรงเรียนเอกชน, กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช. )
จ่ายเบี้ยสั้นๆ ไม่ได้ดีกว่าจ่ายเบี้ยยาวๆ เช่นเดียวกัน ประกันแต่ละแบบนั้น มันมีทั้งข้อดีและข้อเสีย การจ่ายเบี้ยยาวๆ นั้น ก็เหมือนกันกับจ่ายคืนเงินกู้บ้าน เพราะยิ่งยาว เงินผ่อนต่องวดจะยิ่งลดลง ประกันก็เช่นเดียวกัน แบบประกันที่สัญญายาวเท่ากัน แบบที่จ่ายเบี้ยยาวกว่า จะถูกกว่าแบบที่จ่ายเบี้ยสั้นกว่า เพราะฉะนั้น แบบสั้นๆ จะมีข้อดีตรงที่ ไม่ต้องมีภาระค่าเบี้ยนาน แต่ข้อเสียคือ ค่าเบี้ยต่องวดก็จะแพง เหมาะกับคนที่มีกำลังจ่ายเบี้ยสูง ขณะที่แบบจ่ายเบี้ยยาว ข้อดีคือ ค่าเบี้ยต่องวดถูก แต่ข้อเสียคือ มีภาระค่าเบี้ยนาน เหมาะกับคนที่มีกำลังจ่ายเบี้ยน้อยกว่านั่นเอง 6. แบบที่มีเงินคืน ไม่ได้ดีกว่าแบบที่ไม่มีเงินคืน หรือจ่ายเบี้ยทิ้ง ที่จริงแล้วประกันแบบที่มีเงินคืนนั้น ส่วนใหญ่จะแบบสะสมทรัพย์ ทำเพื่อการันตีเงินออม ส่วนแบบที่ไม่มีเงินคืนคือเป็นแบบเน้นคุ้มครองชีวิต ถึงไม่มีเงินคืน แต่ถ้าเทียบกันเบี้ยที่จ่ายในจำนวนที่เท่ากัน แบบที่เน้นคุ้มครองชีวิตที่ไม่มีเงินคืน จะได้วงเงินคุ้มครองชีวิตสูงกว่าเยอะมาก ยิ่งเป็นแบบจ่ายเบี้ยทิ้ง วงเงินคุ้มครองยิ่งสูงมากๆ 7. ทำประกันชีวิตเท่าที่พอใจจะจ่ายเบี้ยอาจมีผลเสียมากกว่าดี คำว่าเท่าที่พอใจจะจ่าย จะมีผลอยู่ 2 อย่าง คือจ่ายได้เยอะเกินไป กับจ่ายได้น้อยเกินไป จ่ายได้เยอะเกินไป คือ การทำประกันมากเกินความจำเป็น แต่ถ้ามีการวางแผนที่ดี รู้จักเอาเงินส่วนหนึ่งไปวางแผนลงทุนบ้าง เราอาจจะได้มากกว่านั้นหลายเท่า แล้วยังเหลือเงินไปวางแผนด้านอื่นอีกด้วย จ่ายน้อยกว่าที่จำเป็น คือ คนที่มีภาระการเงินเยอะ แต่ทำประกันวงเงินคุ้มครองแค่เพียงเล็กน้อยซึ่งอาจจะไม่ครอบคลุมความเสี่ยงเพียงพอ เพราะฉะนั้นต้องมองเรื่องการวางแผนการเงินให้ครบถ้วนด้วย 8.